ผู้เขียนขอนำความรู้เกี่ยวกับวาตภัย การเกิดวาตภัยมาให้ศึกษากันค่ะ
นิยามและความหมาย
วาตภัย หมายถึง
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากความแปรปรวนของมวลอากาศอย่างรุนแรงจากพายุฤดูร้อน
และพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งปรากฏในบริเวณที่มีการยกตัวของมวลอากาศ เช่น
ความกดอากาศต่ำ หรือแนวปะทะอากาศ (front)
ก่อให้เกิดลมกรรโชกแรง ลูกเห็บ ฟ้าผ่า
และพายุฝนฟ้าคะนอง
สาเหตุการเกิดวาตภัย
# พายุฟ้าคะนอง(Thunderstorm) เกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล
# พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Rain Storm)
# พายุฤดูร้อน
จะเกิดในช่วงที่มีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกันหลายวัน
แล้วมีกระแสอากาศเย็น
จากความกดอากาศสูงมาปะทะกันทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองมีพายุลมแรง
และอาจมีลูกเห็บตกได้จะทำ
ความเสียหายในบริเวณที่ไม่กว้างนัก
# ลมงวง (Tornado) เป็นพายุหมุนรุนแรงขนาดเล็กที่เกิดจากการหมุนเวียน
ของลมภายใต้เมฆก่อตัว
ในทางตั้ง
ในทางตั้ง
การไหลเวียนของอากาศ
อาศัยหลักการที่ว่า “อากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ที่สูงอากาศเย็นจะจมตัวลงมา
ที่พื้น”
ใช้อธิบายการเกิดลมบกลมทะเลและการเกิดลมมรสุม
การไหลเวียนบรรยากาศของโลกในอุดมคติ
ลักษณะของวาตภัย
พายุฟ้าคะนอง (Thunderstorms)
พายุฟ้าคะนอง (Thunderstorms)
# เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันเหนือพื้นผิวโลก
บริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้ว
โลกใต้ที่อยู่ในละติจูดที่สูงขึ้นไป
มักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อน
# สำหรับประเทศไทยพายุฝนฟ้าคะนองสามารถก่อตัวได้เกือบตลอดเวลา
โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมถึง
เดือนพฤษภาคม
พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นจะมีความรุนแรงกว่าปกติ จนเกิดเป็นลักษณะที่เรียกว่า
“พายุ
ฤดูร้อน”
# มีลมกรรโชกแรง ฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า แต่ไม่รุนแรงเท่าพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดในฤดู
ร้อน แต่อาจเกิดอุทกภัยได้พายุฝนฟ้า
# ความเร็วลมประมาณ 50 km./hr.
# ก่อนเกิดวาตภัยอากาศร้จะอนอบอ้าว มีลมแรงเป็นช่วงๆ
พายุลูกเห็บ(Hail Storms)
# ลูกเห็บ เป็นก้อนน้ำลักษณะเหมือนน้ำแข็ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 5-50 mm
# เกิดจากละอองหยาดฝนซึ่งเย็นแบบยิ่งยวด ในเมฆฝน ปะทะกับฝุ่น หรือ ก้อนลูกเห็บที่เกาะตัวอยู่ก่อน
แล้ว เนื่องจากลมที่พัดพาอยู่เบื้องบน ดังนั้นลูกเห็บอาจเกาะตัวจนเป็นก้อนใหญ่มีน้ำหนักเกินกว่าที่ลมจะ
พัดให้ลอยอยู่ได้และตกลงมา
# มีลมกรรโชกแรง ฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า แต่ไม่รุนแรงเท่าพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดในฤดู
ร้อน แต่อาจเกิดอุทกภัยได้พายุฝนฟ้า
# ความเร็วลมประมาณ 50 km./hr.
# ก่อนเกิดวาตภัยอากาศร้จะอนอบอ้าว มีลมแรงเป็นช่วงๆ
พายุลูกเห็บ(Hail Storms)
# ลูกเห็บ เป็นก้อนน้ำลักษณะเหมือนน้ำแข็ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 5-50 mm
# เกิดจากละอองหยาดฝนซึ่งเย็นแบบยิ่งยวด ในเมฆฝน ปะทะกับฝุ่น หรือ ก้อนลูกเห็บที่เกาะตัวอยู่ก่อน
แล้ว เนื่องจากลมที่พัดพาอยู่เบื้องบน ดังนั้นลูกเห็บอาจเกาะตัวจนเป็นก้อนใหญ่มีน้ำหนักเกินกว่าที่ลมจะ
พัดให้ลอยอยู่ได้และตกลงมา
# มักจะมากับ
พายุฝนที่รุนแรง และมักจะมีอากาศเย็น
เนื่องจากการลอยตัวขึ้นของอากาศร้อนและแรง
ดึงดูดของโลก
ลูกเห็บที่ลอยตัวอยู่นานก็จะมีขนาดใหญ่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ลูกเห็บขนาดใหญ่ก็อาจเกิด
ขึ้นได้ในเขตที่มีอากาศร้อน
เนื่องมาจากการลอยตัวขึ้นที่รุนแรงของอากาศร้อน
และยังสามารถเกิดขึ้น
ได้ในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย
Tornado
# เกิดจากเมฆที่ก่อตัวขึ้นในแนวดิ่ง
ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “เมมคิวบูโลพิมพัส (Cumulomimbus)”
นอกจากนี้ถ้าก่อตัวขึ้นในบริเวณพื้นที่ระบบกว้างใหญ่
# สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ
โดยลักษณะที่พบได้บ่อยสุดคือลักษณะรูปทรงกรวย
# มีพลังทำลายได้สูง โดยความเร็วลมสามารถสูงมากถึง 500 km/hr.
พายุหมุนเขตร้อน(Tropical cyclone)
# จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน
เป็นพายุที่เกิดขึ้นเหนือในเขตเส้นศูนย์สูตร มีศูนย์กลางประมาณ 200 กม.
มี
ลมพัดเวียนรอบศูนย์กลางทิศทวนเข็มนาฬิกา
# ตาพายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ
อากาศโปร่งใส โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อย
# ก่อนเกิดวาตภัย อากาศดี
เมื่อด้านหน้าของพายุมาถึงบริเวณนี้จะมีลมแรง ฝนตกหนักและมีพายุฝนฟ้า
คะนอง
ลมกระโชก ในขณะที่ตาพายุมาถึง อากาศจะโปร่งใสอีกครั้ง
และเมื่อด้านหลังของพายุหมุนมา
ถึง อากาศจะเลวร้ายลงอีกครั้งและรุนแรงกว่าครั้งแรก
# มีชื่อเรียกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด
- พายุที่เกิดในอ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดียเรียก “ไซโคลน (CYCLONE)
- พายุที่เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก เรียก “เฮอร์ริเคน
(HURRICANE)”
- พายุที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก และทะเลจีนใต้เรียก “ไต้ฝุ่น (TYPHOON)”
- พายุที่เกิดแถบทวีปออสเตรเลียเรียก “วิลลี-วิลลี (WILLY-WILLY)”
# พายุหมุนเขตร้อนที่มีอิทธิพลต่อลมฟ้าอากาศของประเทศไทย ส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดในมหาสมุทร
แปซิฟิก ซึ่งมีการแบ่งเกณฑ์ความรุนแรงของพายุตามข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยใช้ความเร็วลมใกล้
ศูนย์กลางพายุดังนี้
- พายุดีเปรสชั่น(Depression) ความเร็วลมไม่เกิน 61 km./hr.
- พายุโซนร้อน ความเร็วลม ระหว่าง 62 ถึง 117 km./hr.
- พายุไต้ฝุ่น(Typhoon) ความเร็วลม มากกว่า 118 km./hr.
Hurrican Katrina ถล่ม New Orleans เมื่อเดือนกันยายน 2005
พายุหิมะ (Blizzard)
# ลมพายุที่หนาวจัดและหอบเอาหิมะมาด้วยเป็นจำนวนมาก
ส่วนมากเป็นหิมะฝอย ๆ ละเอียดและแห้ง
หรือย่างน้อยก็พัดหอบเอาหิมะขึ้นไปจากพื้นดิน
# สหรัฐอเมริกากำหนดไว้ว่ามีความเร็วลม
32 miles/hr.# เมื่อลมนี้หอบเอาหิมะมาจะทำให้ทัศนวิสัยลดลง และถ้าพายุหิมะแรงจัดมากบางครั้งทัศนวิสัยจะเป็น
ศูนย์
การเกิดวาตภัยในประเทศไทย
# พายุหมุนฤดูร้อน
ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก
# พายุฝนฟ้าคะนองจะเกิดในฤดูฝน
ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลในตอนต้นฤดูฝน (กลางเดือนพฤษภาคม)
และตอนปลายฤดูฝนก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว (กลางเดือนตุลาคม)
#พายุหมุนเขตร้อน เกิดในฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม (พายุไซโคลนในทะเลอันดามัน) ถึงเดือน
ตุลาคม (พายุหมุนเขตร้อนในทะเลจีนใต้)
ลักษณะของการหมุนเวียนของกระแสอากาศชั้นบนและชั้นล่างในแต่ละฤดูกาลของประเทศไทย
ช่วงเวลาของพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทย
เปอร์เซ็นต์ความถี่ที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนผ่านประเทศไทยในช่วงปี
พศ. 2599-2544
ความเสียหายจากพายุเกย์ ที่จังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532 ประชาชนเสียชีวิต 602 คน บาดเจ็บ 5,495 คน
บ้านเรือนเสียหาย 61,258 หลัง ทรัพย์สินสูญเสียราว 11,739,595,265 บาท
เส้นทางของพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนที่พัดผ่านภาคตะวันออก
ในคาบ 50 ปี
จำนวนพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนตัวเข้าภาคตะวันออกในแต่ละเดือน
ในคาบ 50 ปี
ผลกระทบที่เกิดจากวาตภัย
# ต้นไม้ถอนรากถอนโคน ต้นไม้ทับบ้านเรือนพัง สวนไร่นา เสียหายหนักมาก
สังกะสีจะถูกพัดเปิด กระเบื้องหลังคาปลิวว่อน
#เสาไฟฟ้า เสาโทรเลข เสาโทรศัพท์ล้ม สายไฟฟ้าขาด ไฟฟ้าลัดวงจร
# ผู้คนที่พักอยู่ริมทะเล
จะถูกคลื่นซัดท่วมบ้านเรือน และกวาดลงทะเล
# ฝนตกหนักมากทั้งวันและทั้งคืน อุทกภัยจะตามมา # น้ำป่าจากภูเขาไหลหลากลงมาอย่าง รุนแรง ท่วมบ้านเรือน ถนน เส้นทางคมนาคม
# ในทะเลลมพัดแรงจัดมาก คลื่นใหญ่ เรือขนาดใหญ่อาจถูกพัดพาไปเกยฝั่งหรือชนหินโสโครกทำให้จม
ได้
การกำหนดขอบเขตพื้นที่วิกฤตจากวาตภัย
# ศึกษาข้อมูลสถิติการเกิดวาตภัย และความรุนแรงของการเกิดวาตภัยในอดีต
ตลอดจนระดับความเร็ว
ลมใกล้ศูนย์กลาง
และเส้นทางพายุหมุนเขตร้อนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดวาตภัย
# ศึกษาข้อมูลความเร็วลมสูงสุดรายวัน อย่างน้อยในรอบ 30 ปี แบ่งระดับความเร็วลม
เพื่อแสดงระดับความรุนแรงของวาตภัย
# แบ่งลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขา พื้นที่ลอนลาด พื้นที่ราบ
และพื้นที่น้ำท่วมถึง
เร็วลม ความถี่ที่พายุเข้า ความถี่ที่พายุเคลื่อนที่ผ่าน สภาพภูมิประเทศรัศมีความรุนแรงของพายุหมุนเขต
ร้อนในระดับต่างๆ
เพื่อนำมากำหนดขอบเขตระดับเสี่ยงวาตภัย
# จัดทำแผนที่แสดงระดับความเสี่ยงวาตภัย โดยการใช้ระบบ GIS
# คำนวณหาบริเวณพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนที่ระดับต่างๆ
โดยพิจารณาจากพื้นที่ที่อยู่ในรัศมีที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนที่ผ่าน ในเขต 50 และ 100 กิโลเมตร
ระดับพื้นที่เสี่ยงวาตภัย (Risk Area Level)
# พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับสูง เป็นพื้นที่ที่อยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตร
จากแนวศูนย์กลางการเคลื่อนที่ของ
พายุ สภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำ
อยู่ใกล้แถบชายฝั่งทะเล หรือพื้นที่เกาะ
# พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับปานกลาง เป็นพื้นที่อยู่ในแนวรัศมี 50 - 100 กิโลเมตร จากแนวศูนย์กลาง
พายุ
สภาพพื้นที่เป็นที่ลอนลาดและที่ราบเชิงเขา
สภาพการใช้ประโยชน์มักจะเป็นพื้นที่เกษตรเป็นส่วน
ใหญ่
# พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับต่ำ เป็นพื้นที่อยู่นอกแนวรัศมี 100 กิโลเมตร
จากศูนย์กลางการเคลื่อนที่
ของพายุ สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงเป็นส่วนใหญ่
ความเสียหายจึงเกิดขึ้นไม่มาก
การป้องกันอันตรายจากวาตภัย
# การเตรียมการและขณะเกิดวาตภัย
1.
ติดตามข่าวและประกาศคำเตือนลักษณะอากาศร้ายจากกรมอุตุนิยมวิทยา
2. เตรียมวิทยุและอุปกรณ์สื่อสาร ชนิดใช้ถ่านแบตเตอรี่ เพื่อติดตามข่าวในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง
3. ตัดกิ่งไม้ หรือรีดกิ่งไม้ที่อาจหักได้จากลมพายุ โดยเฉพาะกิ่งที่จะหักมาทับบ้าน สายไฟฟ้า ต้นไม้ที่ตายยืนต้นควรจัดการโค่นลงเสีย
4. ตรวจเสาและสายไฟฟ้าทั้งในและนอกบริเวณบ้านให้เรียบร้อย ถ้าไม่แข็งแรงให้ยึดเหนี่ยวเสาไฟฟ้าให้มั่นคง
5. พักในอาคารที่มั่นคงตลอดเวลาขณะเกิดวาตภัย อย่าออกมาในที่โล่งแจ้ง เพราะต้นไม้และกิ่งไม้ อาจหักโค่นลงมาทับได้ รวมทั้งสังกะสีและกระเบื้องจะปลิวตามลมมาทำอันตรายได้
2. เตรียมวิทยุและอุปกรณ์สื่อสาร ชนิดใช้ถ่านแบตเตอรี่ เพื่อติดตามข่าวในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง
3. ตัดกิ่งไม้ หรือรีดกิ่งไม้ที่อาจหักได้จากลมพายุ โดยเฉพาะกิ่งที่จะหักมาทับบ้าน สายไฟฟ้า ต้นไม้ที่ตายยืนต้นควรจัดการโค่นลงเสีย
4. ตรวจเสาและสายไฟฟ้าทั้งในและนอกบริเวณบ้านให้เรียบร้อย ถ้าไม่แข็งแรงให้ยึดเหนี่ยวเสาไฟฟ้าให้มั่นคง
5. พักในอาคารที่มั่นคงตลอดเวลาขณะเกิดวาตภัย อย่าออกมาในที่โล่งแจ้ง เพราะต้นไม้และกิ่งไม้ อาจหักโค่นลงมาทับได้ รวมทั้งสังกะสีและกระเบื้องจะปลิวตามลมมาทำอันตรายได้
6. ปิดประตู หน้าต่างทุกบาน
รวมทั้งยึดประตูและหน้าต่างให้มั่นคงแข็งแรง ถ้าประตูหน้าต่างไม่
แข็งแรง
ให้ใช้ไม้ทาบตีตะปูตรึงปิดประตู หน้าต่างไว้จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
7. ปิดกั้นช่องทางลมและช่องทางต่าง ๆ ที่ลมจะเข้าไปทำให้เกิดความเสียหาย
8. เตรียมตะเกียง ไฟฉาย และไม้ขีดไฟไว้ให้พร้อม ให้อยู่ใกล้มือ
เมื่อเกิดไฟฟ้าดับจะได้หยิบใช้ได้
อย่างทันท่วงที และน้ำสะอาด
พร้อมทั้งอุปกรณ์เครื่องหุ้มตุ้ม
9. เตรียมอาหารสำรอง อาหารกระป๋องไว้บ้างสำหรับการยังชีพในระยะเวลา 2-3 วัน
10. ดับเตาไฟให้เรียบร้อยและควรจะมีอุปกรณ์สำหรับดับเพลิงไว้
11. เตรียมเครื่องเวชภัณฑ์
12. สิ่งของควรไว้ในที่ต่ำ เพราะอาจจะตกหล่น แตกหักเสียหาย
13. บรรดาเรือ แพ
ให้ลงสมอยึดตรึงให้มั่นคงแข็งแรง
14. ถ้ามีรถยนต์ หรือพาหนะ
ควรเตรียมไว้ให้พร้อมภายหลังพายุสงบอาจต้องนำผู้ป่วยไปส่ง โรง
พยาบาล
น้ำมันควรจะเติมให้เต็มถังอยู่ตลอดเวลา
15. เมื่อลมสงบแล้วต้องรออย่างน้อย 3 ชั่วโมง ถ้าพ้นระยะนี้แล้วไม่มีลมแรงเกิดขึ้นอีก
จึงจะวาง
ใจว่าพายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งนี้เพราะ
เมื่อศูนย์กลางพายุผ่านไปแล้วจะต้องมีลมแรงและฝนตก
หนักผ่านมาอีก ประมาณ 2 ชั่วโมง
16. ตั้งสติให้มั่นในการติดสินใจ ช่วยครอบครัวให้พ้นอันตรายในขณะวิกฤต
โทรปรึกษานัก
พยากรณ์อากาศ
การป้องกันอันตรายจากวาตภัย
# เมื่อพายุสงบแล้ว
1.
เมื่อมีผู้บาดเจ็บให้รีบช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ใกล้เคียงให้เร็ว
ที่สุด
2. ต้นไม้ใกล้จะล้มให้รีบจัดการโค่นล้มลงเสีย มิฉะนั้นจะหักโค่นล้มภายหลัง
3. ถ้ามีเสาไฟฟ้าล้ม สายไฟขาดอย่าเข้าใกล้หรือแตะต้องเป็นอันขาด ทำเครื่องหมายแสดง
อันตราย
4.
แจ้งให้เจ้าหน้าที่หรือช่างไฟฟ้าจัดการด่วน อย่าแตะโลหะที่เป็นสื่อไฟฟ้าเมื่อปรากฏว่าท่อ
ประปาแตกที่ใด ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาแก้ไขโดยด่วน
5. อย่าเพิ่งใช้น้ำประปา เพราะน้ำอาจไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากท่อแตกหรือน้ำท่วม
ถ้าใช้น้ำประปาขณะ
นั้นดื่มอาจจะเกิดโรคได้ ให้ใช้น้ำที่กักตุนก่อนเกิดเหตุดื่มแทน
6. ปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่อาจจะเกิดขึ้นได้
Wind Shear
Wind shear นั้นเป็นลมที่เกิดจากการที่ลมสองกระแสปะทะกันอย่างรุนแรง
สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วโลกและมักจะเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น
จากร้อนไปหนาว ซึ่ง Wind shear อาจเปลี่ยนไปเป็น
ไมโครเบิร์ท
ซึ่งไมโครเบิร์ทนั้นคือลมใต้มาตรฐานก่อนฝนตก
ซึ่งมีความรุนแรงมาก
วินเชียร์ที่กระทบกระเทือน
และเป็นอันตรายมากต่อการบิน ได้แก่ วินเชียร์ที่เกิดขึ้นในระดับต่ำๆ
ซึ่ง
สูงจากทางวิ่งของสนามบินไม่เกิน 500 เมตร
เป็นวินเชียร์ที่เกิดขึ้นในระดับต่ำๆ
ใกล้กับทางวิ่งของ
สนามบิน วินเชียร์เกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศในบรรยากาศชั้นหนึ่งเคลื่อนผ่านบรรยากาศชั้น
หนึ่งที่อยู่ติดๆกันซึ่งมีตั้งแต่ขนาด
เล็กๆที่เกิดจากลมกระโชกแรงๆจนถึงการไหลของมวลอากาศ
ขนาดใหญ่ โดยเกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือมากกว่า
เกิดร่วมกันเช่นพายุฟ้าคะนอง แนวปะทะอากาศ ลมทะเลฯลฯ ซึ่งวินเชียร์ที่เป็นอันตรายต่อการบิน
บ้านเราจะเกิดจากพายุ
ฟ้าคะนองเท่านั้น การตรวจวินเชียร์เป็นการเตือนภัยไม่ให้เครื่องบินเข้าไป
ในบริเวณที่เป็นวินเชียร์ซึ่งจะถูกโยนตัวขึ้น-ลงจนนักบินไม่สามารถ
ควบคุมเครื่องได้ ถ้ารุนแรง
มาก ชิ้นส่วนของเครื่องบินอาจฉีกขาด ทำให้เครื่องตกได้
-จบหัวข้อศึกษาเรื่องวาตภัยค่ะ ขอบคุณที่รับชมนะค่ะ-
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น